สำหรับคนที่เพิ่งรู้จักกัน..อาจจะไม่รู้ว่าเราเรียนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาทั้ง ป.ตรีและ ป.โท คืออาจจะไม่ได้เก่งขนาดนั้นเพราะไม่งั้นคงทำงานด้านนั้นไปแล้ว 5555 แต่ถึงแม้จะไม่ได้ทำงานตรงสายมันก็ทำให้เรามีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องการเมืองและการระหว่างประเทศพอสมควร โดนเฉพาะอิทธิพลของ Soft Power ต่อการระหว่างประเทศ Fun fact: ตอน ป.โทเราทำวิจัยเรื่องนี้ และเขียนวิทยานิพนธ์เรื่องนี้เลย
ช่วงหลังมานี้เห็นนักการเมืองไทยหลายคนมาพูดถึง Soft Power กันมากขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน แต่มันทำให้เรารู้สึกว่าคนที่นำมาพูดหลายๆ คนกลับไม่เข้าใจว่า Soft Power คืออะไร? ยิ่งฟังอธิบายยิ่งงง? วันนี้เลยถือโอกาสมาเล่าเกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับ Soft Power ให้ทุกคนฟัง ว่ามันมีที่มามาจากอะไร แล้วจริงๆ แล้วเวลาเราพูดถึง Soft Power แล้วมันหมายถึงอะไรกันแน่
Soft Power เป็นแนวคิดในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและรัฐศาสตร์ที่อ้างถึงความสามารถของประเทศในการโน้มน้าวผู้อื่น ด้วยวิธีการที่ไม่บีบบังคับ เช่น การใช้แรงดึงดูดทางวัฒนธรรม ค่านิยมทางการเมือง การทูต และความน่าดึงดูดทางด้านอุดมการณ์และสถาบันของประเทศ แทนที่จะใช้กำลังทหาร หรือการบีบบังคับทางเศรษฐกิจ (ซึ่งคืออำนาจหนัก หรือ Hard Power นั่นเอง) Soft Power มักถูกมองว่าเป็นหนทางสำหรับประเทศต่างๆ ในการบรรลุเป้าหมายต่างๆ ของตน และเพิ่มจุดยืนในระดับนานาชาติโดยไม่ต้องอาศัยกำลังโดยตรงหรือแรงกดดันทางเศรษฐกิจ
คำว่า Soft Power ถูกบัญญัติขึ้นโดย Joseph Nye Jr. นักรัฐศาสตร์และศาสตราจารย์ชาวอเมริกัน ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 เขาได้แนะนำแนวคิดนี้ครั้งแรกในบทความปี 1990 เรื่อง “Bound to Lead: The Changing Nature of American Power” ซึ่งต่อมาได้รับการขยายความในหนังสือของเขาในปี 2004 เรื่อง “Soft Power: The Means to Success in World Politics” (มีหนังสือเล่มนี้ ยืมได้นะ แต่ต้องไปหาก่อน)
ในงานเหล่านี้ Nye ได้พัฒนาแนวคิดเรื่อง Soft Power โดยเปรียบเทียบกับแนวคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับ Hard Power และกำลังทหาร เขาบอกว่าความสามารถของประเทศในการดึงดูดและมีอิทธิพลต่อผู้อื่นผ่านวัฒนธรรม ค่านิยม นโยบาย และการทูตเป็นส่วนสำคัญของอิทธิพลระหว่างประเทศ และอาจมีความสำคัญพอๆ กัน หรือมากกว่าความแข็งแกร่งทางการทหารและเศรษฐกิจ
การมีส่วนร่วมของ Joseph Nye ต่อแนวคิดเรื่อง Soft Power มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และยังคงมีอิทธิพลในการอภิปรายเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศและการทูตอยู่จนถึงปัจจุบัน
ถ้าใครยังนึกภาพไม่ออกว่า Soft Power มันเป็นยังไงกันแน่ เราขอยกตัวอย่างที่ Soft Power ที่เป็นรูปธรรมา 2-3 อย่าง ณ ที่นี้
- หนังฮอลลีวูดในช่วงสงครามเย็น:
* ภาพยนตร์เรื่อง James Bond: ตัวละครสายลับชาวอังกฤษ James Bond ได้แสดงถึงความซับซ้อน ความสามารถ และอิทธิพลระดับโลกของอังกฤษในช่วงสงครามเย็น มันตอกย้ำแนวคิดเรื่องข่าวกรองของอังกฤษและความสามารถที่แอบแฝงอยู่
* Rocky IV: ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายในปี 1985 เป็นภาพของนักมวยชาวอเมริกัน (Rocky Balboa) ที่สามารถเอาชนะนักมวยโซเวียต Ivan Drago โดยมันทำหน้าที่เป็นสัญลักษณ์ของสหรัฐอเมริกาที่มีชัยเหนือสหภาพโซเวียต โดยส่งเสริมคุณค่าของความเป็นปัจเจกนิยมและความมุ่งมั่นของชาวอเมริกันสู่สายตาชาวโลก
การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม:
การแลกเปลี่ยนศิลปิน นักดนตรี และปัญญาชนระหว่างประเทศสามารถส่งเสริมความเข้าใจร่วมกัน ตัวอย่างเช่น ในช่วงสงครามเย็น นักดนตรีและศิลปินแจ๊สจากสหรัฐอเมริกาไปเที่ยวสหภาพโซเวียต ซึ่งช่วยทลายกำแพงทางวัฒนธรรมและส่งเสริมภาพลักษณ์เชิงบวกของสหรัฐอเมริกา
ภาษาและการศึกษา:
สถาบันขงจื้อ จีนก่อตั้งสถาบันขงจื้อขึ้นทั่วโลก เพื่อส่งเสริมภาษาและวัฒนธรรมจีน สถาบันเหล่านี้เปิดสอนหลักสูตรภาษาและโปรแกรมวัฒนธรรม ซึ่งมีส่วนสนับสนุน Soft Power ของจีนโดยการเพิ่มความเข้าใจในวัฒนธรรมและค่านิยมของจีนให้มากขึ้น
วัฒนธรรมป็อป (Pop Culture):
- แคมเปญ “Cool Japan” ของญี่ปุ่น: ญี่ปุ่นส่งเสริมวัฒนธรรมป๊อป รวมถึงอะนิเมะ มังงะ และอาหาร เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและสร้างความสนใจในวัฒนธรรมญี่ปุ่นไปยังทั่วโลก
- ตัวอย่างที่ได้เห็นได้ชัดเจนมากในปัจจุบันคือ K-Pop (สมัยตอนที่เราเรียนอยู่มันมีคำที่ใช้เรียกปรากฏการณ์นี้ด้วยนะคือคำว่า Korean Wave เคยได้ยินกันมั้ย 555) ซึ่งทำหน้าที่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับเกาหลีใต้ โดยดึงดูดผู้คนให้รู้จักกับวัฒนธรรม ภาษา และค่านิยมของเกาหลี ขณะเดียวกันก็มีส่วนสนับสนุนความพยายามทางเศรษฐกิจและการทูตของประเทศในเวทีระดับโลก
ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าประเทศต่างๆ ใช้ความคิดริเริ่มด้านวัฒนธรรม การศึกษา และการทูตในรูปแบบต่างๆ เพื่อมีอิทธิพลต่อการรับรู้ของนานาชาติ ส่งเสริมค่านิยมของตน และพัฒนาผลประโยชน์ของตนโดยไม่ต้องใช้กำลังทหารหรือการบีบบังคับทางเศรษฐกิจ Soft Power เป็นเครื่องมืออันทรงคุณค่าในขอบเขตของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและนโยบายต่างประเทศ
สำหรับประเทศไทยนั้นบ่อยครั้งเราจะเห็นรัฐบาลและหน่วยงานรัฐต่างๆ พยายามจะโปรโมท Soft Power ของไทยหลักๆ สองอย่าง คือ อาหารไทย และมวยไทย ส่วนตัวเราคิดว่าเรามี potential ที่มากกว่านั้นโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมโฆษณาและ Entertainment content (เช่น หนังผีไทย หรือซีรีส์วาย) เราหวังว่าภายใต้รัฐบาลใหม่นี้ ผู้ที่มีอำนาจจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับ Soft Power มากขึ้น ช่วยส่งเสริมในสิ่งที่เอกชนทำได้เป็นอย่างดี และจะทำได้ดีไปยิ่งกว่านี้ถ้าหากมีแรงสนับสนุนที่มากขึ้นจากภาครัฐ